กริยา 3 ช่อง คือ คำที่ใช้เพื่อบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ซึ่งคำกริยาในแต่ละช่องจะนำไปใช้เพื่อที่จะสื่อความหมายให้ผู้รับสารเข้าใจถึงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ได้ถูกต้อง
กริยาช่อง ที่ 1 คือ ปัจจุบัน หรือ Base Form ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ทั่วไปหรือเหตุการณ์ปัจจุบัน เช่น
Birds can fly. นกบินได้
I have two pens. ฉันมีปากกาสองด้าม
I am a actress. ฉันเป็นนักแสดงหญิง
กริยาช่อง ที่ 2 คือ อดีต หรือ Simple Past Tense ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต
เช่น
I went to the zoo yesterday. ฉันไปสวนสัตว์เมื่อวานนี้
กริยาช่อง ที่ 3 คือ คำกริยาที่ใช้ใน Perfect Tense ทุกชนิด และ Passive Voice หรือ Past Participle ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สิ้นสุดลงแล้ว
I forgot my book! ฉันลืมหนังสือ
I have never forgotten him. ฉันยังไม่ลืมเขา
3. She is forgotten girl. เธอคือคนที่ถูกลืม
กริยา 3 ช่องมี 2 ประเภท คือ
1. Regular Verbs (กริยาปกติ) หมายถึง คำกริยาที่คงรูปเดิม แต่เพิ่มเติมคือเติม -ed ต่อท้ายคำ แต่ถ้ามี -e อยู่แล้วก็เติมแค่ -d นั่นเอง
หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love - loved = รัก
move - move = เคลื่อน
hope - hoped = หวัง
2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry - cried = ร้องไห้ try - tried = พยายาม
ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้ เติม ed ได้เลย เช่น
play - played = เล่น stay - stayed = พัก , อาศัย
enjoy - enjoyed = สนุก obey - obeyed = เชื่อฟัง
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan - planned = วางแผน
stop - stopped = หยุด
beg - begged = ขอร้อง
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้นมีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลง ท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย refer - referred = อ้างถึง
2. Irregular Verbs (กริยาเปลี่ยนรูป) หมายถึง คำกริยาที่ตัวมันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ต่างกันไป หรือบางทีก็ไม่เปลี่ยนเลย
คำถามท้ายบท